วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

ดอกไม้ไทย

ดอกไม้ไทย


ไม้ดอกชนิดเป็นพุ่ม


กรรณิการ์

เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 เมตร ลำต้นและกิ่งเป็นเหลี่ยม ใบเป็นชนิดใบเดี่ยวออกเป็นคู่ เรียงตรงข้าม ใบทรงรูปไข่ ขอบใบเรียบหรือมีจักเล็กน้อย


ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง เป็นดอกเดี่ยวมีโคนกลีบติดกัน มีลักษณะเป็นหลอดสีส้ม กลีบดอกแคบ ปลายกลีบสีขาวและไม่เสมอกัน จะมีกลิ่นหอมตอนกลางคืน และดอกจะร่วงหมดในตอนเช้า ผลมีลักษณะเป็นแผ่นแบน ภายในมีเมล็ดอยู่ 2 เมล็ด

ขยายพันธุ์โดยการตอนหรือปักชำ
 
 
 
กระดังงาสงขลา


 
  เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 เมตร ใบเป็นชนิดใบเดี่ยวยาว กลีบรองดอกมีสามกลีบ สีเขียว มีขนาดสั้น กลีบใบเรียวสองชั้น ชั้นนอกมี 5 กลีบ ชั้นในมี 15 กลีบ ปลายกลีบเรียวแหลมโคนกลีบด้านในมีแต้มสีน้ำตาล ที่ฐานกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียติดอยู่


กระดังงา ออกดอกตลอดปี มีกลิ่นหอมอบอวล

ขยายพันธุ์ด้วยการตอน  
 
กระดุมทอง
 


เป็นไม้ล้มลุกพุ่มเตี้ย สูงประมาณ 50 เซนติเมตร ลำต้นมีขนทึบใบเดี่ยว เรียงตรงกันข้าม สัณฐานใบเป็นรูปไข่ หรือรูปรีกว้าง ใบกว้างประมาณ 3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร ปลายแหลมโคนสอบ ขอบเรียบหรือหยักซี่ฟัน ผิวใบมีขนสากทั้ง 2 ด้าน เส้นแขนงใบข้างละ 1 เส้น ก้านใบสั้นมีครีบ มีขนตามก้านใบและขอบครีบ ช่อดออกดอกเดี่ยว ๆ หรือออกเป็นคู่ ตามง่ามใบใกล้ยอดดอกโตประมาณ 3 เซนติเมตร ก้านดอกยาว 1-8 เซนติเมตร โคนช่อมีใบประดับมีขนเรียงกันถี่ โคนใบประกอบชั้นนอกใหญ่ขึ้นเมื่อดอกร่วงไป ดอกวงนอกเป็นดอกตัวเมีย มีประมาณ 10 ดอก กลีบดอกสีเหลืองรูปรี กว้างประมาณ 3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร รังไข่เล็ก ดอกวงในเหมือนดอกตัวเมีย แต่รังไข่ไม่สมบูรณ์ ดอกตัวผู้มีขนาดเล็กมากและเป็นหมัน อยู่กลางกระจุกดอก ผลมีสัณฐานเป็นรูปสามเหลี่ยม ยอดแบน เมล็ดเล็กสีดำเป็นมัน ยาวประมาณ 3 เซนติเมตรขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด อกแบบช่อกระจุก
 
 
 



กุหลาบ
 

เป็นไม้พุ่มตั้งหรือเลื้อย ใบเป็นใบประกอบ ประกอบด้วย 3 ใบ หรือ 5 ใบ ขอบใบจัก หูใบติดกับก้านใบหรือเป็นอิสระ


ดอกออกที่ปลายกิ่ง มีทั้งดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อ กลีบรองดอกเป็นรูปถ้วยสีเขียว ปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกปกติมี 5 กลีบ เกสรตัวเมียอยู่กลางดอกเป็นผลกลม ภายในมีเมล็ดแข็งจำนวนมาก เกสรตัวผู้มีอยู่เป็นจำนวนมาก กุหลาบมีหลายชนิด หลายพันธุ์ ส่วนใหญ่ดอกมีกลิ่นหอมเย็น

การขยายพันธุ์มีหลายแบบ เช่น เพาะเมล็ด ตอน ติดตา และปักชำ
 


...กุหลาบหอมหวล ส่งกลิ่นยียวนแสนยวนยั่วหัวใจ


ทั้งหอมทั้งหวาน ดอกเพิ่งบานใหม่ ๆ ...

...ฉันมั่นใจกุหลาบเป็นไม้งามละม่อม ควรจะออมถนอมชม

ทุก ๆ คนพอใจมักเด็ดเอาไปดอมดม หรือจะชมเสียบผมชื่นอุรา

สวยสีสรรค์ทุก ๆ พรรณสุดจะเด่น กลิ่นเยือกเย็นสีที่เห็นไม่บาดตา

กลีบเกสรกลีบอ่อนซ้อนกันดูงามสง่า ทุกเวลารวยรื่นนาสาน่าดม...

...ริมธารละลานไปด้วยบุปผา ดอกแดงกุหลาบพนาสลับลัดดากล้วยไม้ไพร...

การเลี้ยงปลา

การเลี้ยงปลา
ปลามี2ชนิดคือ
1.ปลามีเกล็ด

2.ปลาไม่มีเกล็ด

แมว

แมว



ถิ่นกำเนิดของ American Curl


ในเดือน มิถุนายน ปี ค.ศ.1981 ในวัฒนธรรมแห่งสหรัฐอเมริกาสมัยใหม่ แมวพันธุ์ American Curl ถูกค้นพบใน ชุมชน California ของ Lakewood ของผู้อาศัยอยู่ที่ชื่อ Joe และ Grace Ruga (Curlniques Cattery) Joe กลับจากทำงานตอนเย็นนั้นและพบลูกแมว 2 ตัวอายุ 6 เดือนภายนอกบ้านของเขา จึงรับมาเลี้ยงดู พวกเขาตั้งข้อสังเกตว่าพวกมันมีหูที่เป็นวงนั้นจากหลังถึงหัว ดูแล้วเป็นที่น่าขัน ลูกแมวตัวที่เป็นพี่ มีสีดำกับขนยาวและอีกตัวหนึ่ง มีขนสีดำ และสีขาวและขนกึ่งยาว ทั้ง สองมีขนนุ่มเป็นมันเรียบคล้ายไหม ลูกแมวทั้งสองถูกตั้งชื่อว่าShulamith และ Panda ในเดือนธันวาคม ค.ศ.1981 หลังการตกลูกครอกแรกของ Shulamith พวกเขาจึงได้มองเห็นถึงการมีใบหูที่มีลักษณะที่พิเศษไม่เหมือนใครของมัน แสดงถึง

การค้นพบพันธุ์ใหม่ของแมว พวกเขาเริ่มต้นการวิจัยและการทดสอบเพาะพันธุ์โดยทันที ซึ่งนำมาสู่ การยอมรับและได้รับการจดทะเบียนเป็นแมวพันธุ์ใหม่ของโลกในปี ค.ศ.1986 ซึ่งแมวพันธุ์นี้ถือว่าเป็นแมวที่สามารถแบ่งพันธุ์ได้ทั้งสองชนิดคือมีทั้ง แบบ Shorthairและ longhair



ลักษณะโดยทั่วไป

ลักษณะพิเศษของ American Curl ที่ดึงดูดใจก็คือ หู เป็นวงหูอย่างมีอันเดียว เป็นลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนแมวพันธุ์อื่น American Curl ที่เป็นพันธุ์ดั้งเดิม ตัวเมียที่เป็นชนิด longhaired ที่เรียกว่า Shulamith แรกบันทึกในCalifornia ทางใต้ในปี

1981 การเพาะพันธุ์แบบเลือกได้เริ่มต้นในปี 1983ทำให้มีหู เป็นวงอย่างสม่ำเสมอดี มีกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์เหมาะสม, เรียวมากกว่าที่เป็นก้อนใหญ่โต ตัวเมียหนัก 5 ถึง 8 ปอนด์ ตัวผู้หนัก 7 ถึง10 ปอนด์ , สัดส่วนเหมาะสมและสมดุลสำคัญกว่าขนาด ตัวผู้จะมีลักษณะ สวยงามและสง่างามกว่าตัวเมีย



ศีรษะ



รูปร่าง: เป็นรูปลิ่มไม่แบนราบ อย่างพอประมาณยาวกว่ากว้าง ระนาบราบรื่น

โครงร่าง: จมูกมี ความยาวและตรงพอประมาณ และนูนล็กน้อยขี้นจากด้านล่างของตาถึงหน้าผาก เส้นโค้งที่ได้รูปไปถึงด้านบนสุดของหัว ไปจนถึงใต้ลำคอ

ขนาด: ปานกลางในสัดส่วนเมื่อเทียบกับร่างกาย

คาง: แน่น แข็ง,แนวเดียวกับจมูกและริมฝีปากล่าง

ใบหู



องศา: น้อยที่สุด 90 ส่วนโค้งองศาเป็นวง ไม่เกิน 180 องศา แน่นด้วย cartilage จากพื้นฐานหูถึงอย่างน้อย 1/3 ของความสูง

รูปร่าง: กว้างที่ฐานและเปิด, เส้นโค้งหลังในส่วนโค้งราบเรียบเมื่อดูจากด้านหน้าและด้านหลัง

ขนาด: ใหญ่อย่างพอประมาณ

ที่ตั้ง: ตั้งตรงอยู่บริเวณส่วนบนแต่ละด้านของหัวอย่างเท่าๆกัน

หมายเหตุ: เมื่อหูมีการตื่นตัวเกิดขึ้น หูจะเหยียดชี้ตรงไปด้านหน้า, เส้นตามความโค้งของหูจะชี้ไปยังศูนย์กลางฐานของกระโหลกศีรษะ(เส้นโค้งที่ลาก ผ่าน ตามความโค้งของหูผ่านปลายสุดของหูเลย 90 และสูงถึง180 องศา อาจจะ intersect

ที่จุดไกลกว่าขึ้นบนกระโหลกศีรษะ แต่ไม่เลยจุดสูงสุดของกระโหลกศีรษะ)



ร่างกาย ดวงตาใหญ่ กลมรีเหมือนเมล็ดอัลมอน สี Hazel เขียว หรือเหลือง เท่านั้น มีเส้นสีดำ


รูปร่างลำตัว กึ่งต่างประเทศ เป็นสี่เหลียมผืนผ้า, ความยาว 1 และ 1 ใน 2 ความสูงที่บ่า,ความลึกกลางของหน้าอกและสีข้าง

ขนาด ปานกลาง, แต่ตัวผู้มักขนาดใหญ่กว่า

ลักษณะกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงพอประมาณและน้ำเสียงมีการ เปลี่ยนแปลง

หาง งอได้, กว้างที่ฐาน,เรียวเท่าตลอดความยาวร่างกาย

ขา ความยาวปานกลางในสัดส่วนเพื่อร่างกายตั้งโดยตรงเมื่อดูจากด้านหน้าหรือด้านหลัง

ขนาดกระดูกปานกลางไม่ใหญ่และหนัก

คอ ปานกลาง

เท้า ปานกลาง



ลักษณะขนของ American Curl

Longhair



การทอของขน: นุ่มปานกลางเป็นมันคล้ายไหมปกคลุมทั่วร่างกาย

ความยาวขน: กึ่งยาว

ขนหาง: เต็มและแต่งคล้ายขนนก

Shorthair



การทอขอขน: อ่อนนุ่มเป็นมันคล้ายไหมปกคลุมทั่วร่างกาย ยืดหยุ่นได้โดยไม่รู้สึกทึบ หนาเกินไป

ความยาวขน: สั้น

ขนหาง: ความยาวเท่ากับความยาวขนที่ปกคลุมร่างกาย



สีของ American Curl



สีขาว: สีขาวประกายบริสุทธิ์ ปลายจมูกและอุ้งเท้าเป็นสีชมพู

สีดำ: สีดำถ่านหินทึบจากรากถึงปลายสุดของขน บริเวณหนังจมูกสีดำ ส่วนอุ้งเท้าเป็นสีดำหรือสีน้ำตาล

สีน้ำเงิน: สีน้ำเงิน , น้ำเงินสว่าง ระดับจากจมูกถึงปลายของหาง สีทึบได้รับการยอมรับกว่าสีสว่าง บริเวณหนังจมูกและอุ้งเท้าเป็นสีน้ำเงิน

สีแดง: ลึก, ฉูดฉาด, สดใส, ประกายสีแดงสว่างไสว ปราศจากเงามืดหรือสีอื่นเจือปน ริมฝีปากและคางสีเดียวกับขน บริเวณจมูกและอุ้งเท้าเป็นสีอิฐสีแดง

สีครีม: สีเงาหนึ่งระดับของครีมสีเหลืองอ่อน โดยปราศจากตำหนิ บริเวณหนังจมูกและอุ้งเท้าเป็นสีชมพู

สีช็อคโกแลต: สีน้ำตาลช็อคโกแลตอุ่น จากรากถึงปลายของขน บริเวณหนังจมูกและอุ้งเท้าเป็นสีน้ำตาล

สี LILAC: สีทึบ ปกคลุมด้วยสี lavender โทนสีชมพู หนังจมูกและอุ้งเท้าเป็นสีชมพู

CHINCHILLA สีเงิน: ผิวหนังใต้ขนบริสุทธิ์สีขาว ขนบนหลัง, สีข้าง, หัว, และหาง บริเวณปลายขนเป็นสีดำปรากฏเงินที่เป็นประกาย ขาอาจเป็นเงาเพียงเล็กน้อยบริเวณปลายขน ส่วนของคาง, หู , ท้อง, และหน้าอกมีสีขาว บริเวณขอบของตา, ริมฝีปาก, และจมูกเป็นสีดำ ส่วนหนังจมูกมีอิฐสีแดง และบริเวณอุ้งเท้าเป็นสีดำ



แมวพันธุ์ Singapura


ถิ่นกำเนิดของ Singapura

ชื่อพันธุ์ Singapura ตั้งตามถิ่นกำเนิดของแมวคือประเทศสิงคโปร์ นับว่าเป็นหนึ่งในชนิดที่หายาก และถือว่าพันธุ์ที่มีขนาดเล็กที่สุดอีกด้วย โดยมีนำหนักประมาณ 4-9 ปอนด์ และมีเพียงสี Sepia agouti เท่านั้น คือสีน้ำตาลแต้มบนสีงาช้าง มีเพียงหน้าและขาด้านในที่มีแถบสีเข้มอยู่เป็นแถบประวัติ

Singapura แมวพันธุ์ Singapura เป็นแมวพันธุ์พื้นเมืองของสิงคโปร์ และมีจำนวนไม่มาก บางครั้งถูกเรียกว่า Drain cat เนื่องจากอาศัยอยู่ตามท้องถนน แต่ลักษณะเฉพาะตัวของมันได้ไปต้องตา Hal กับ Tommy Meadow ขณะที่เขาได้อาศัยอยู่ในสิงคโปร์ และได้ถูกนำเข้าไปในสหรัฐอเมริกาครั้งแรกเมื่อปี 1971 และนำเข้าเรื่อยมาตั้งแต่ปี 1980 Singapura ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จนเป็นที่รู้จักและได้รับรางวัลในปี 1988 และเนื่องจากไม่นิยมผสมข้ามพันธุ์ จึงมีเพียง 2000 ตัวในโลก


ลักษณะโดยทั่วไป


Singapura โดยทั่วไป เป็นแมวขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ร่าเริง แข็งแรง มีใบหูและดวงตาที่ใหญ่ และสีสันที่งดงาม แมวตัวเมียโตเต็มวัยอาจหนักเพียง 4 ปอนด์ขณะที่ตัวผู้อาจหนักถึง 6 ปอนด์ แม้ตัวเล็กแต่พวกมันก็ล่ำสัน กระฉับกระเฉง แข็งแรง ไม่ใช่พวกขี้โรคหรือบอบบาง

ศีรษะ กะโหลกกลม ระยะห่างตาพอดี ปากและจมูกกลมมน โหนกแก้มสูง

ใบหู ใหญ่และบอบบาง ฐานเปิดกว้าง เหมือนถ้วยก้นลึก ขอบใบหูแหลมเป็นมุม

ตา ดวงตาใหญ่ กลมรีเหมือนเมล็ดอัลมอน สี Hazel เขียว หรือเหลือง เท่านั้น มีเส้นสีดำ

ลำตัว ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เมื่อลำตัว ขากับพื้นจะเป็นรูปร่างสี่เหลี่ยม ล่ำสัน กระฉับกระเฉง

ลำคอ สั้น หนา พุ่งตรงไปข้างหน้า

ขาและเท้า อุ้งเท้าเล็ก ฝ่าเท้าสีน้ำตาลแดง มีขนสีน้ำตาลระหว่างนิ้วเท้า ตัดกับขาสีงาช้าง

หาง ยาวประมาณไหล่เมื่อวางพาดลำตัว ตั้งตรงไม่คดงอ ปลายมน

ขน ขนสั้นเกรียนติดผิวหนัง เรียบลื่นและแวววาว คล้ายกับที่พบในแมวพันธุ์ Abyssinian กระต่าย กระรอก ตัวโกเฟอร์ มีแถบสีที่ขาหน้าด้านในและเข่าหลัง

เสียง นุ่มและกังวาน

ลักษณะที่ให้โทษ เหลือบขนสีเทา โคนขนสีเทา แถบสีที่ขาหน้าด้านนอก มีเส้นรอบคอ ไม่มี Cheetah line หางเสียแต่ไม่เป็นที่สังเกต

ลักษณะที่ไม่คัดเลือก มีจุดขาว แถบสีที่หาง กระหม่อมบาง มีแถบที่คอไม่ครบหรือแถบรอบขา มีหูหรือดวงตาที่เล็กมากๆ หางเสีย ตาสีฟ้า สีขนสีอื่นนอกจากสี Sepia agouti



ลักษณะสีขน

Singapura มีเพียงสี Sepia agouti เท่านั้น คือสีน้ำตาลเข้มแต้มบนพื้นสีงาช้าง โดยแต้มสีน้ำตาลสลับกับแต้มสีงาช้างในเส้นขน ปลายขนสีเข้ม ปลายหางสีเข้ม ปากและจมูก แก้ม อก ท้อง และโคนขนเป็นสีผ้ามัสลินที่ยังไม่ฟอก บริเวณขาหน้าด้านในและเข่าด้านนอก มีแถบสีเข้มเป็นแถบๆ ซึ่งจะไม่พบในลูกแมว ขนระหว่างนิ้วเท้าเป็นสีน้ำตาล บริเวณหน้า คิ้วและมุมตาด้านนอกขอบตา ริมฝีปาก เครา เส้นจมูก สีน้ำตาลเข้ม มีเส้น Cheetah line จากมุมด้านในไปดั้งจมูก โหนกแก้มด้วยเช่นกัน จมูกสีชมพูอ่อนถึงแก่ ฝ่าเท้าสีน้ำตาลแดง



ลักษณะนิสัย

เป็นแมวที่ชอบความอบอุ่น นักล่าที่ดี ร่าเริง มีชีวิตชีวา สนใจสิ่งรอบข้าง ฉลาด ชอบอยู่ใกล้คนและไม่ก้าวร้าวกับสัตว์อื่น ชอบเล่นอะไรแปลก ๆ ชอบท่องเที่ยว ชอบนอนบนตัวคนและชอบอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

ปัญหาสุขภาพ

ไม่มีปัญหาเรื่องพันธุกรรม

การซื้อขาย

เนื่องจากแมวพันธุ์ Singapura เป็นพันธุ์ที่หายาก ราคาของแมวจะขึ้นอยู่กับชนิด แถบสีบนตัว Singapuraลักษณะ และสายพันธุ์ซึ่งรองรับโดย Grand Champion (GC), National or Regional winning parentage (NW or RW) or of Distinguished Merit parentage (DM) นักผสมพันธุ์จะคัดเลือกลูกแมวอายุ 12 สัปดาห์มาฝึก พัฒนาลักษณะและความเสถียรภาพทางอารมณ์เพื่อให้คุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมใหม่ การแสดงตัวหรือการขนส่งทางอากาศ



การเข้าร่วมสมาคม

แมวพันธุ์ Singapura ได้รับการยอมรับจากสถาบันแมวมากมาย

มาตรฐาน

ตามมาตรฐานของ TICA (The International Cat Association)

รูปร่างศีรษะ กะโหลกต้องกลม ไม่โดม ไม่แบน ดวงตาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม รูปร่างของศีรษะเป็นส่วนที่มีน้ำหนักมากที่สุดในการตัดสิน อาจยกเว้นเรื่องกรามในแมวตัวผู้ที่โตเต็มวัยแล้ว



หู ใหญ่ ชี้ในทิศทางที่เหมาะสม ฐานกว้างเหมือนถ้วยก้นลึก ซึ่งเหมาะกับลักษณะที่ใหญ่ ขนหลังใบหูสีอ่อน



ดวงตา ดวงตาใหญ่ รูปร่างรีเหมือนเม็ดอัลมอนด์ หนังตาสีเข้มขอบสีอ่อน ลายบนหน้าขับความเด่นให้ดวงตา ระยะห่างตาเหมาะสม ไม่แคบเกินไป สีตาต้องเป็นสีเขียว หรือสีเขียวคาเลโดเนีย สี Hazel สีทอง หรือทองแดง ไม่ใช่สีฟ้า เทา หรือฟ้าใส

แก้ม กลมมน

ปากและจมูก สั้นพอดีกัน จมูกมน ไม่เรียวหรือชี้ หรือเหมือนหมาป่า โหนกแก้มสูง

โครงร่าง สั้น

ลำคอ สั้นและหนา

ตัว กลางถึงเล็ก ลำตัว ขาและพื้นควรมองดูเป็นรูปสี่เหลี่ยมเมื่อมองจากไหล่ไปยังโคนหาง ขอบซี่โครงกลม หลังลาด

ขาและเท้า ขาหนักและสมส่วน เท้าเล็ก มน

หาง ยาวต่ำกว่าไหล่เมื่อวัดเทียบกับลำตัว พุ่งตรง เรียว ไม่คดงอ และปลายมน

กระดูก กล้ามเนื้อ ล่ำสันแต่ไม่อ้วน น้ำหนักไม่เกินพอดี คอและอกสมส่วน อาจจะเห็นสะโพกตรงเมื่อเทียบกับคอและไหล่ สิ่งนี้ไม่นับว่าผิดปกติในแมวรุ่น

ความยาวและผิว เรียบติดลำตัว ไม่มีจุดสี ขนลูกแมวอาจยาว

ลาย ลายหนา แต้มสีอ่อนและเข้มทั่วไป โคนขนสีอ่อน ปลายสีเข้ม มีลายที่หลัง ที่ว่างระหว่างหูควรมีสีเข้มและหนา ขนหน้าท้องบาง ความหนาของขนที่เป็นบางช่วงถือเป็นลักษณะเด่นของพันธุ์ มีแถบบนขาหน้าด้านในและเข่าซึ่งเป็นลักษณะเด่นเช่นกัน เห็นได้ชัดเมื่อโตเต็มวัย แถบด้านนอกขาหน้าถือว่าผิดปกติ มี Cheetah line ที่เห็นได้ชัด อาจพบลายตัว M บนหัว

สี สีพื้นสีงาช้างจนออกเหลือง ปากและจมูก แก้ม อก ท้อง และโคนขนเป็นสีผ้ามัสลินที่ยังไม่ฟอก จมูก สีชมพูอ่อนถึงแก่ บริเวณหน้า คิ้วและมุมตาด้านนอกขอบตา ริมฝีปาก เครา เส้นจมูก สีน้ำตาลเข้ม ฝ่าเท้าสีน้ำตาลเข้มโทนแดง ขนระหว่างนิ้วเท้าเป็นสีน้ำตาล ปลายหางสีเข้ม หูและดั้งจมูกสีชมพูแก่



ลักษณะที่เด่นคือสีเข้ม ประกายสว่าง แถบสีตัดกันอย่างชัดเจน ต้องไม่มีโทนสีเทา อาจยกเว้นได้ในลูกแมวซึ่งจะหายไปตามอายุ





สุนัขสายพันธุ์ต่างๆ

สุนัขสายพันธุ์ต่างๆ


1.พันธุ์ชิห์สุ

Shin Tzu สันนิษฐานว่าสุนัขพันธุ์ชิห์สุมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน โดยใช้เป็นสัตว์เลี้ยงของพระจักรพรรดิ์ และเชื้อพระวงศ์ในพระราชสำนักในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์แมนจู หลังจากนั้นได้มีการนำมาเลี้ยงในที่ต่างๆ ทั่วอังกฤษและยุโรป



ลักษณะทั่วไป


เป็นสุนัขขนาดเล็ก ขนยาวจรดพื้น โครงสร้างมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวลำตัวมากกว่าความสูง กว้างและลึก เส้นกลางหลังตรงไม่โค้ง ศีรษะมีลักษณะกว้างกลม จมูกและปากสั้นยาวไม่เกิน 1 นิ้ว บริเวณหน้าไม่มีรอยย่น รอยต่อระหว่างปากและหน้าเป็นมุมหักที่ชัดเจน ตามีลักษณะกลมโต นัยน์ตาสีเข้ม ตาไม่ยื่นโปนออกมา หูมีขนาดใหญ่และยาวปรกลงทั้ง 2 ข้าง ฟันหน้าบนและล่างขบกันพอดี หรือฟันล่างขบอยู่ด้านนอก หางม้วนงอวางพาดอยู่บนแผ่นหลังและขนยาวปรกคลุม


นิสัย


ชิห์สุเป็นสุนัขที่มีนิสัยขี้เล่น อ่อนโยน ชอบเล่นกับเด็ก




ขนาด เพศผู้ เพศเมีย

ความสูง (เซนติเมตร) 9 - 11 9 - 11

น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) 4-7 4-7



ขน

สุนัขชิห์สุที่ดีควรมีขนที่ยาวจรดพื้น เส้นขนอ่อนนุ่ม ดกแน่น และมีลักษณะเหยียดตรงไม่หยิกงอ และขนชั้นในควรมีเส้นเล็กนุ่มและสั้นกว่าขนชั้นนอก ขนบริเวณศีรษะควรยาวจนสามารถรวบเป็นกระจุกได้





สี

มีได้หลายสี ตั้งแต่ สีขาว ดำ เทา น้ำตาล และเทาแกมแดง 2 - 3 สี และมักมีมาร์คกิ้งเป็นสีขาว บริเวณใบหน้า ไหล่ สะโพก และปลายหาง


ลักษณะบกพร่อง


1. ศีรษะเล็กและแคบเกินไป

2. ฟันหน้าชุดบนขบเกยอยู่ด้านนอกฟันล่าง

3. ขนสั้น หรือหยิก

4. จมูกและปากยาวเกินไป

5. ขนบางไม่ดกแน่น


2.พันธุ์ปอมเมอเรเนียน

ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนนุ่มปุกปุย มีหัวเป็นรูปลิ่ม หูตั้งชี้ขึ้น บรรพบุรุษปอมเมอเรนียนย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์



เชื่อกันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันครั้งแรกที่เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น แสดงว่าสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์



ความฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎตัวครั้งแรกของปอมเมอเรเนียนที่งานกระกวดสุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง





มาตราฐานสายพันธุ์

ลักษณะทั่วไป : ปอมฯ เป็นสุนัขขนาดเล็ก ลำตัวสั้นกระทัดรัด น้ำหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง

สัดส่วน : น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จนถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง

ศีรษะ : ขนาดของหัวต้องได้สัดส่วนกับลำตัว ช่วงปาก (MUZZLE) สั้นตรง หน้าดูคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก (FOXY EXPRESSION) หัวกะโหลกปิด ช่วงบนของหัวกะโหลกจะกลมเล็กน้อยแต่ไม่โหนกนูน ถ้ามองจากด้านหน้าและด้านข้างแล้วจะต้องเห็นหูที่มีขนาดเล็กอยู่ในตำแหน่งที่สูง (HIGH EARSET) และตั้งตรง รูปร่างปากจะมีลักษณะคล้ายรูปลิ่ม(WEDGE SHAPE) เส้นที่ลากจากจมูกไปถึงจุดหัก (STOP) จะต้องอยู่ตรงกลางระหว่างตาทั้งสองข้างและหูทั้งสองข้าง ตามีสีดำสนิท สดใส ขนาดปานกลาง คล้ายเมล็ดอัลมอนด์ (ALMOND SHAPE) สีของจมูกและขอบตาต้องดำสนิท ยกเว้นปอมฯ สีน้ำตาล BEAVER และ BLUE ฟันต้องกัดสบกันพอดี (SCISSORSBITE)

นิสัยและอารมณ์ : สุนัขปอมฯ เป็นสุนัขที่เปิดเผย แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด

คอ เส้นหลังและลำตัว : คอค่อนข้างสั้น ตั้งอยู่บนไหล่ ทำให้ช่วงคอตั้งสูง แลดูสง่างาม ช่วงหลังสั้น มีระดับของเส้นหลัง หางมีตำแหน่งที่สูง (HIGH TAILSET) วางราบตรงอยู่บนหลัง

ลำตัวส่วนหน้า : ไหล่จะต้องมีการเอียงลาดลงเพียงพอ เพื่อให้สามารถชูคอและหัวได้สูงและสง่างาม ความยาวของช่วงไหล่และขาตอนบนต้องเท่ากัน ขาหน้าต้องตรงและขนานกัน ความยาวตั้งแต่ไหล่จนถึงข้อศอกต้องมีความยาวเท่ากับข้อศอกถึงพื้น ขาต้องตรงและแข็งแรง ไม่เอียงเข้าหรือเอียงออก

ลำตัวส่วนหลัง : ได้สัดส่วนกับลำตัวส่วนหน้า ตำแหน่งของหางจะต้องอยู่เหนือสะโพกค่อนมาทางด้านหน้าต้นขา ต้องมีกล้ามเนื้อแข็งแรงปานกลาง และมีส่วนหน้าของขาหลัง (STIFLES) มีมุม (ANGULATION) ที่โค้งงอพอสมควรรับกับส่วนน่อง (HOCK) ต้องตั้งฉากกับพื้น ถ้ามองจากด้านหลังขาทั้ง 2 ข้างต้องตรงและขนานกัน เท้ามีลักษณะโค้งมนกระชับ ไม่เอียง สุนัขต้องยืนอยู่ปลายเท้า (TOES) นิ้วติ่ง (DEWCLAWS) ถ้ามีควรตัดออก

การเคลื่อนไหว : การเดินหรือการเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่างอิสระราบเรียบ นุ่มนวล แลดูแข็งแรง เวลาเดินขาหน้าต้องเหยียดตรงไม่งอพับขึ้น ข้อศอกไม่กางออก ส่วนขาหลังต้องไม่ถ่างออก ขาหลังจะเคลื่อนไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกันกับขาหน้าที่เคลื่อนที่ไป

ขน : สุนัขปอมฯ มีขน 2 ชั้น คือ ขนชั้นใน (UNDERCOAT) ต้องนุ่มและแน่น ขนชั้นนอก(OUTTERCOAT) ต้องยาวตรงเป็นประกายและหยาบ ขนชั้นในที่หนาแน่นจะช่วยพยุงขนชั้นนอกให้ฟูไม่ลู่ เหยียดตรง ขนจะต้องหนาแน่นตั้งแต่ช่วงคอ หน้าอก ช่วงไหล่ด้านหน้า ขนช่วงหัวและขาจะแน่นแต่สั้นกว่าขนช่วงลำตัว ขนหางยาว หยาบและเหยียดตรง การตัดแต่งเล็มขนให้ดูสวยงามและดูเรียบร้อยไม่ถือเป็นข้อผิด

สี : สีที่ได้รับการยอมรับและรับรอง ควรได้รับการพิจารณาการตัดสินอย่างเท่าเทียมกัน สีที่ได้รับการยอมรับได้แก่

1. สีใดๆ ก็ได้ที่ขึ้นเป็นสีเดียวกันทั้งตัว หรืออาจจะมีสีที่อ่อนหรือแก่กว่าแซมอยู่ด้วย (SELT-COLOR)

2. สีแซมกัน 2 สี (PARTI-COLOR) หมายถึงปอมฯ ที่มีสีขาวและมีสีอื่นแซมเป็นพื้นๆ กระจายเท่าๆ กันทั่วตัว และควรมีแถบสีขาวบนหัวด้วย

3. สีดำและน้ำตาล (BLACK AND TAN) หมายถึงปอมฯ มีสีดำที่มีสีน้ำตาลอยู่เหนือตาทั้ง 2 ข้างและปาก ลำคอ หน้าอก ใต้หาง ขาและเท้าทั้ง 4 ข้าง สีน้ำตาลนี้ยิ่งเข้มยิ่งดี

4. BRINDLE ได้แก่ปอมฯ ที่มีพื้น คือ สีทอง แดงหรือส้ม และมีสีดำแซมอยู่ทั่วทั้งตัว



จุดบกพร่อง :

1. กะโหลกกลม โหนกนูน ฟันล่างยื่น (UNDERSHOT MOUTH) หรือฟันบนยื่นจนเกินไป (OVERSHOT MOUTH)

2. ข้อเท้าราบกับพื้นมากเกินไป

3. ขาหลังที่หัวเข่าชิดกัน ปลายเท้าชี้ออก (COWHOCKS) หรือขาหลังที่บกพร่อง

4. ขนที่นิ่ม เหยียดตรงและแยกออกจนเห็นผิวหนังข้างใน (OPEN COAT)


3.พันธุ์เชา เชา


เป็นสุนัขที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น มีประวัติศาสตร์สายพันธุ์มายาวนาน กว่า 2000 ปี สุนัขเชา เชา เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างสุนัขพันธุ์มาสตีฟแห่งธิเบตและพันธุ์ชามอยจากตอนเหนือของไซบีเรีย แต่มีข้อโต้แย้งว่าเชา เชาอาจเป็นสุนัขพันธุ์แท้ดั้งเดิม เพราะเป็นเพียงสุนัขพันธุ์เดียวในโลกที่มีลิ้นสีดำปนน้ำเงิน




เชา เชาเริ่มมีชื่อเสียงและได้รับความนิยมในประเทศอังกฤษในปี 1880 โดยพระนางเจ้าวิคตอเรียทรงให้ความสนพระทัย สมาคมสุนัขพันธุ์เชา เชาได้ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในอังกฤษในปี 1895 สุนัขพันธุ์เชา เชามีความสามารถในการดมกลิ่นเป็นเลิศ มีความเฉลียวฉลาดในกลวิธีการล่าสัตว์





ปัจจุบันสุนัขพันธุ์เชา เชาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก ในบ้านเราจัดได้ว่าได้รับความนิยมอยู่ในเกณฑ์สูงและจัดได้ว่าเป็นสุนัขที่ค่อนข้างมีระดับ เหตุเพราะว่าเป็นสุนัขที่มีราคาค่อนข้างสูง จากการที่เชา เชามีขนหนาแน่นปกคลุมอยู่ทั่วตัว ทำให้ร่างกายอุ้มความร้อน ดั้งนั้นเชา เชาจึงชอบอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศเย็น ในสภาพอากาศที่ร้อนอย่างบ้านเรา มักจะทำให้เหนื่อยง่ายและเฉื่อยชา แต่อย่างไรก็ตามการที่เชา เชามีการขยายพันธุ์ในหลายๆ รุ่น ทำให้สามารถปรับสภาพกับอากาศในเมืองไทยได้พอสมควร






มาตราฐานสายพันธุ์

ลักษณะทั่วไป : เชา เชาเป็นสุนัขที่เต็มไปด้วยพละกำลัง ลำตัวสั้นกระทัดรัด มีความแคล่วคล่องว่องไวและตื่นตัวอยู่เสมอ มีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและมีโครงสร้างที่สมดุลมาก ลำตัวเป็นสี่เหลี่ยม ศีรษะกว้างและแบน สันจมูกกว้างและสั้น มีขนขึ้นหนาแน่นโดยเฉพาะที่รอบคอ ขาใหญ่ตั้งตรงและแข็งแรง ขนมีความมันเป็นประกาย ลักษณะเด่นของเชา เชาคือ มีความเป็นเอกลักษณ์ มีความสง่างามและมีความเป็นธรรมชาติ เปรียบเสมือนกับเป็นราชสีห์ หน้าตาดุดันแข็งขัน สงบและว่างท่าอย่างสุขุมเป็นผู้ดี มีความเป็นอิสระและมีการตัดสินใจที่ดี

ศีรษะ : มีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดรูปร่าง มีกะโหลกศีรษะแบนกว้าง มีสต๊อปชัดเจน ลักษณะหน้าตาฉายแววของความทรนงองอาจ สันจมูกสั้นและกว้างเมื่อเทียบกับความยาวของกะโหลกจากตาจนถึงปลายจมูก ริมฝีปากเต็มและยื่น

ฟัน : ฟันขาว แข็งแรง สบกันพอดี

จมูก : จมูกใหญ่ กว้างและมีสีดำ ถ้าจมูกมีลายจุดหรือมีสีอื่นที่เห็นได้ชัดเจนนอกจากสีดำถือว่าขาดคุณสมบัติ ยกเว้นเชา เชาที่มีดำ, น้ำเงิน จมูกอาจมีสีน้ำเงินได้ ลิ้นมีสีดำออกน้ำเงิน เนื้อเยื่อในปากออกสีดำ ถ้าลิ้นมีสีชมพูแดงหรือมีจุดสีแดงจนเห็นได้ชัดเจนถือว่าขาดคุณสมบัติ

ตา : มีสีดำขนาดปานกลาง รูปร่างเรียวคล้ายผลอัลมอนด์ ขอบตาสีดำ

หู : ใบหูเล็ก ตรงปลายหูมีความโค้งมนเล็กน้อย หูแข็งตั้งขึ้น เอียงออกด้านข้างและด้านหน้าเล็กน้อย ถ้าหูตกข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างถือว่าขาดคุณสมบัติ

ลำตัว : สั้นกระทัดรัด มีซี่โครงผายออก ความสูงของลำตัวมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของลำตัว เส้นหลังตรงขนานกับพื้น

คอ : ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ คอกลม มีความยาวพอเหมาะ แข็งแรง ทำให้ดูสง่างาม

อก : กว้างและลึกเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ลึกจรดข้อศอก ถ้าอกแฟบถือว่าเป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรง

ขาหน้า : ขาหน้าตั้งตรง กระดูกมีขนาดใหญ่ มีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ข้อเท้าขาหน้าตั้งตรงตั้งฉากกับพื้น เท้าชี้ตรงไปข้างหน้าไม่บิดซ้าย - ขวา เท้ามีลักษณะหนากลม เท้าชิด เล็บตัดสั้น

ขาหลัง : มีกระดูกใหญ่ ขาหลังท่อนบนประกอบด้วยกล้ามเนื้อ มองจากด้านหลังขาหลังตรง และขนานห่างกันพอเหมาะ ข้อเท้าหลังตรงตั้งฉากกับพื้น มองจากด้านข้าง สะโพก หัวเข่าและข้อเท้าจะเป็นเส้นตรงเดียวกัน เท้าหลังมีลักษณะคล้ายเท้าหน้า

เอว : มีขนาดสั้นและลึก ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ

ขน-สี : มี 2 ชนิด คือ ชนิดขนสั้นและชนิดขนยาว มีขนที่ดกหนา เส้นขนเหยียดตรง ขนชั้นนอกค่อนข้างหยาบ ขนชั้นในนุ่ม มีสีสดใสและเป็นสีเดียวกันตลอด อาจมีเฉดสีแตกต่างออกไปเล็กน้อยตรงแผงคอ ที่หางและที่ก้น เชา เชามีสีดำ, สีเทา, สีแดง, สีครีม ที่สำคัญคือ เชา เชาต้องมีสีเดียวตลอดทั้งตัว

หาง : โคนหางอยู่ในระดับสูง หางพาดแนบหลัง

ส่วนสูงและน้ำหนัก : สูงประมาณ 17 - 20 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 24 - 27 กิโลกรัม

การเคลื่อนไหว : มีความมั่นคง สง่างาม ขณะวิ่งขาตึง ยกเท้าไม่สูง คอเชิด



Ads by Google